เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ นี่เรื่องของผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ของเราต้องการธรรมะ ต้องการให้หัวใจสุขสบาย ความสุขสบายของคน คนจะสุขสบาย สุขสบายที่หัวใจนี้ จะยากดีมีจนนะ ถ้าจิตใจสบายอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าจิตใจมันทุกข์มันยาก จะอยู่บนตึก ๓ ชั้น ๑๐ ชั้น มันเป็นทุกข์อยู่บนนั้นน่ะ ความทุกข์ความยากมันกัดกินหัวใจของเรานะ
ความเกิดเป็นมนุษย์ไง สิ่งที่มนุษย์นี้มีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ถ้ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ร่วมกัน เวลาอยู่ร่วมกัน คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด คนฉลาดเขาหาผลประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ไอ้คนโง่คนไม่ทันเขา ถ้าคนไม่ทันเขาเป็นเหยื่อเขาทั้งนั้นเลย คนโง่เป็นเหยื่อของคนฉลาด แล้วเป็นเหยื่อเพราะอะไรล่ะ เป็นเหยื่อเพราะโลภไง เพราะมันโลภ เพราะมันไม่มีสติไม่มีปัญญาใช่ไหม มันไม่มีสิ่งใดหรอกที่มันจะได้มาง่ายๆ น่ะ คนเรามันต้องลงทุนลงแรงทั้งนั้นน่ะ เราต้องมีสติมีปัญญา เราทำมาหากินของเรา เราอย่าไปเชื่อใครง่ายๆ เราไม่เชื่อใครง่ายๆ เราก็ไม่เป็นเหยื่อของใครไง
ถ้าคนฉลาด คนฉลาดมันฉลาดใช่ไหม มีปัญญามากๆ มีปัญญามากก็จะเอาเปรียบเขา เพราะนี่เป็นปัญญาๆ ของตน ไม่รู้เลยว่าปัญญาที่มีความเมตตา ดูความเมตตาสิ ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์คือความรักของพ่อของแม่ พ่อแม่รักลูกด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ ลูกเราจะเป็นอย่างไรก็ได้ ขอให้ลูกเรามีความสุข ขอให้มีความสุขเถิด อย่าให้มันทุกข์มันยากนะ จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นอะไรก็ได้ อย่าไปบีบคั้นเขา อย่าไปบีบคั้นเขานะ ลูกของเรามันไม่เท่ากันหรอก ปัญญาของคนไม่เท่ากัน อำนาจวาสนาของคนไม่เท่ากัน ให้เขามีความสุขของเขา ให้เขาทำประโยชน์กับเขา ประโยชน์กับชีวิตของเขาไง
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราต้องอยู่ด้วยสังคมนะ ทีนี้อยู่ด้วยสังคม ดูสิ เวลาทางโลก ประชาธิปไตยๆ อ้างว่าประชาธิปไตย มันขี้เกียจ มันไม่ทำอะไรมันบอกประชาธิปไตยไง เป็นสิทธิ์ของเราๆ ไง ประชาธิปไตยๆ
ประชาธิปไตยเขามีเสียงข้างน้อยเสียงข้างมากนะ ไอ้นี่เป็นเรื่องของโลก มันเป็นเรื่องการสุดวิสัย การปกครองโดยระบบประชาธิปไตยเขาบอกเป็นความปกครองที่เลวน้อยที่สุด เขาว่าอย่างนั้น ว่าเป็นการปกครองที่เลวน้อยที่สุด แต่คนที่ประชาธิปไตยๆ ต้องฟังเสียงส่วนน้อย ถ้าเกิดมีน้ำใจ เขาฟังทั้งนั้นน่ะ คนที่เป็นธรรมๆ เวลาเขาขึ้นมา เขาบอกว่าเขาปกครองทั้งประเทศ เขาไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย เขาไม่แบ่งอะไรทั้งสิ้น นี่พูดถึงว่าทางโลกนะ
แล้วถ้าเป็นทางธรรมๆ ล่ะ ทางธรรม กิเลสกับธรรมสู้กันในหัวใจนี่ไง ถ้าคนมีสติมีปัญญา มีสติปัญญา เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดี มันอยู่ด้วยความเป็นสุขนะ มันไม่หวาดไม่ระแวงไง
สิ่งใดที่เป็นทุจริต ทุจริตมันอยู่ได้ชั่วคราวๆ เท่านั้นน่ะ มันอยู่ได้ชั่วคราวเพราะว่าอะไร เพราะความโลภที่ไปทำมา แล้วสังคมเขาไม่มีความสามารถจับเราได้ เราก็ว่าเราได้ประโยชน์ๆ นั่นน่ะมันอยู่ที่ความหวาดระแวง
แต่ถ้าเป็นความสุจริตๆ ความสุจริตจะมีมากมีน้อยก็เป็นความสุจริตของเราไง ถ้าความสุจริตมันก็เป็นธรรม เป็นธรรมหมายความว่าเป็นศีล ถ้าผู้มีศีลมีธรรม ถ้ามีศีลมีธรรม ศีลธรรมคุ้มครองเรานะ
ผู้ใดเวลาปฏิบัตินะ ศีลคุ้มครองเราตรงไหน ศีลคุ้มครองที่เรามีความสุจริตนี่ไง ศีลมันคุ้มครองที่เราองอาจกล้าหาญไง พระที่มีศีล มีศีลมีธรรมจะเข้ากับสังคมไหนก็ได้ไง พระที่มีบาดแผลไม่กล้าเข้าสังคมใดๆ เลย
วัวเวลาเป็นแผลมันสันหลังหวะ มันกลัวอีกา มันกลัวกามันจะจิกหลังมันน่ะ ไปที่ไหนมันก็หวาดระแวง คอยดูแลหลัง ใครจะมาจิกหลังมัน นั่นน่ะวัวสันหลังหวะๆ ไง เพราะว่ามันไม่มีศีลธรรมไง ถ้าเรามีศีลธรรม ศีลจะคุ้มครองเรา คุ้มครองด้วยความองอาจกล้าหาญไง คุ้มครองเราได้มีความสุข นี่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะคุ้มครองเราไง
ไอ้นี่ไปหาอะไรมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ที่ไหนล่ะ
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ที่ความกล้าหาญของเรานี่แหละ ถ้ามันจะศักดิ์สิทธิ์ ของขลังๆ มันขลังที่ใจนี้ ถ้าขลังที่ใจนี้ ถ้าใจมันมีศีลมีธรรม มันจะมีคุณค่า จะขลังมาก มันขลังของมันนะ มันไม่กลัวอะไรเลย ไม่กลัวอะไรเลยเพราะสิ่งต่างๆ มันเป็นอนิจจังทั้งนั้นน่ะ เป็นของชั่วคราวทั้งนั้นน่ะ มันต้องผ่านเราไปทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่มันจะมาเผชิญหน้ากับเรา ไม่มีอะไรของจริงสักอย่าง ไม่มีของจริงเลย
ถ้าไม่มีของจริงเลย แต่เราเกิดมามีชีวิตใช่ไหม เราเกิดมามีชีวิต เกิดมาเป็นมนุษย์มีคุณค่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมๆ เราต้องอยู่กับสังคมนะ เราอยู่กับสังคม เราก็ต้องมีสติมีปัญญาของเราไง ถ้ามีสติปัญญาของเรานะ เราไม่เอารัดเอาเปรียบใคร แต่เราก็ไม่อยากให้ใครเอารัดเอาเปรียบเราเหมือนกันน่ะ
แต่ถ้าเรามีเมตตาของเรา สิ่งใดที่คนที่เขาได้ทุกข์ได้ยากใช่ไหม เรามีกำลังที่พอจะช่วยเหลือเขาได้ เราก็อยากจะช่วยเหลือเขา เราอยากจะช่วยเหลือเขานี่มีปัญญานะ เราไม่ใช่ว่าไม่มีใครมาขู่เข็ญให้เราต้องไปทำนี่ ถ้าเรามีสติปัญญา เราอยากช่วยเหลือเขา เราอยากจะเจือจานเขา นี่คืออะไร นี่คือน้ำใจไง
คนเรามันมีน้ำใจต่อกัน เกิดบารมีไง คนนี้คนดี๊ดี เขาเคยดูแลเรา เขาเคยช่วยเหลือเรานะ เราระลึกถึงเขานะ เราระลึกถึงเขาทั้งๆ ที่เรามีอยู่มากมายมหาศาลนี่แหละ แต่ถ้าคนมีน้ำใจต่อเรา เขาจะมีน้อยกว่าเรา แต่เขามีน้ำใจกับเรา เราระลึกถึงคุณเขาเลยน่ะ เรามีมากกว่าเขา แต่หัวใจเรายังสู้เขาไม่ได้ หัวใจของเขา เขาจะทุกข์เขาจะยาก แต่หัวใจเขายิ่งใหญ่นะ หัวใจของเขา เขารู้จักเสียสละ เขารู้จักดูแลคนอื่นนะ แล้วเราล่ะ เรามีอยู่เต็มโอ่งเต็มไห เก็บหมกซ่อนไว้ไม่ให้เจือจานใครเลย แล้วบอกว่าอยากให้คนรักเรา อยากให้คนดูแลเรา...ก็ความตระหนี่ ใครจะไปคบด้วยล่ะ ไม่มีใครคบด้วยหรอก
พอเวลามีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะคุ้มครองเรา ถ้าคุ้มครองเรานะ เรามีสติปัญญาของเรา ถ้ามีสติปัญญาของเรา เราดูแลรักษาหัวใจของเรานะ สิ่งที่เราทำ เวลาเราได้อาหารมา เราก็ได้ ดำรงชีพๆ สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีพ แล้วหัวใจมันต้องการอะไรล่ะ สิ่งที่ดำรงชีพ เราก็ดำรงชีพของเราอยู่แล้ว สิ่งที่หัวใจมันต้องการความสุจริต มันต้องการศีล ถ้ามีศีลแล้ว เออ! ความสุขมันไม่ต้องหาที่อื่นเนาะ เขาเที่ยวกันทั่วรอบโลกนะตอนนี้ เขาจะไปหาความสุขกันๆ กลับมาก็มาใช้หนี้
แต่ของเรา ดูพระเราสิ นั่งอยู่โคนต้นไม้ ไม่ต้องไปไหนเลยนะ มีความสุข เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนารักษาใจของตนนะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีหรอก จิตที่มันสงบแล้วมันมีความสุข อยู่ที่ไหนมันก็มีความสุข ไอ้เราจิตนี้มันดิ้น ไอ้นู่นก็ดี ไอ้นี่ก็ดี เขาไปแล้วเราต้องอยากไป ที่นั่นก็ไม่ดี แล้วมันก็กระตุ้นอยู่อย่างนั้นน่ะ มากระตุ้นอยู่อย่างนั้นน่ะ คนโง่ คนโง่ ลด ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ลด ๘๐ เปอร์เซ็นต์ นี่คนโง่ เราไม่จำเป็นต้องใช้อะไรเลย เราเป็นเหยื่อของเขาทั้งนั้นน่ะ
ถ้าคนฉลาดนะ คนเกิดที่นั่นเขาก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เราเกิดที่นี่ เราเกิดจากภูเก็ต อู๋ย! คนรอบโลกมาเที่ยวภูเก็ต เราก็อยู่ทุกวัน เราก็เห็นทุกวันน่ะ แล้วเราชินชา คนเกิดที่นั่นเขาก็คุ้นชินของเขา ไอ้เราก็ไปชอบความแปลกประหลาดเท่านั้นน่ะ จิตมันเป็นอย่างนั้นน่ะ กิเลสมันคุ้ยเขี่ยอย่างนั้นน่ะ
แต่ของเรา เราดีอยู่แล้ว ในบ้านเรามีความสุข เรารักษาบ้านเราให้ดีนะ พ่อแม่ กลับมาถึงได้ทักพ่อแม่บ้างไหม ลูกหลานเราได้ดูแลบ้างไหม เรามีหัวใจไหม เรามีหัวใจดูแลบ้านเราไหม เพื่อนฝูงเยอะแยะไปหมด คนอื่นดูแลเขาหมด แต่บ้านเรา เราเคยดูแลบ้างไหม ถ้าเราดูแลบ้านเรา กลับบ้าน ในบ้านของเรามีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส เรากลับไปแล้วทุกคนอบอุ่นทั้งหมด เรากลับไปแล้วเรากอดกัน มันมีความสุขต่อกัน มันอยากกลับบ้านน่ะ นั่นน่ะมีความสุข นี่พูดถึงบ้านของเรานะ แล้วใจของเราล่ะ หัวใจของเรา
คนเราเวลากระเสือกกระสนเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ทุกคนก็ปลอบประโลมทั้งนั้นน่ะ ขอให้สุขสบาย ขอให้หายนะ ขอให้หายนะ เขาก็ปลอบได้ข้างนอก แต่การรักษาก็เรานี่แหละ ถ้าจิตใจของเราอ่อนแอ จิตใจของเราวิตกกังวล ความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นก็รุนแรงขึ้นมา ถ้าจิตใจของเรามั่นคงขึ้นมานะ ความเจ็บไข้นี้ก็เป็นเรื่องความเจ็บไข้ของร่างกายนี้ ถ้าเจ็บไข้ร่างกายนี้ เรามียารักษา เราก็รักษาของเราไป ถ้ารักษาของเราไป ถ้าร่างกายนี้เจ็บไข้ได้ป่วยนะ แต่หัวใจไม่ป่วยกับมันไง
อยู่กับหลวงตา หลวงตาท่านพูดประจำ เวลาป่วยให้ป่วยคนเดียวนะ อย่าให้ป่วยสองคน ถ้าป่วยสองคน กายก็ป่วย ใจก็ป่วย
ถ้ามันป่วยคนเดียวนะ ร่างกายมันเจ็บป่วย ร่างกายเราเจ็บป่วย จิตใจเราไม่เจ็บป่วยไปด้วย จิตใจเราไม่เจ็บป่วยไปด้วย จิตใจเรามีคุณธรรม นี่ไง มีศีลมีธรรมแล้วมันคุ้มครองอย่างนี้ไง เจ็บไข้ได้ป่วยมันยังคุ้มครองเลย เจ็บไข้ได้ป่วย อ้าว! ร่างกายมันก็เจ็บอย่างนี้ แล้วจิตใจมันสดชื่นนะ แล้วมันจะดึงให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นมาได้ ไปหาหมอ ถ้าคนที่เข้มแข็งนะ หมอรักษาง่ายๆ เลย ไอ้คนอ่อนแอมานะ ฉีดยาเดี๋ยวช็อกตายเลย นี่ไง เพราะจิตใจมันอ่อนแอด้วยไง
ถ้ามันเป็นธรรมๆ ต้องเป็นธรรมอย่างนี้ ถ้าเป็นธรรมอย่างนี้ แล้วมันจะมีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย แล้วเวลาถ้ามีศีลมีธรรมขึ้นมาแล้ว ถ้าในครอบครัวเราก็มีความสุข แล้วความสุขอย่างนี้ เราต้องพลัดพรากจากมันไป
เวลาเราชราคร่ำคร่าขึ้นมาแล้ว ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะต้องพลัดพรากจากที่นี่ไป บทสุดท้ายของทุกๆ คนต้องสิ้นชีวิตนี้ไป การสิ้นชีวิตนี้ไป แล้วเกิดมาเราจะมีอะไรล่ะ สมบัติที่หาไว้ หาไว้ก็เป็นสมบัติสาธารณะ สมบัตินี้หาไว้ หาไว้เพื่อชาติเพื่อตระกูลของเรา เพี่อความมั่นคงของตระกูล แล้วเราล่ะ เราล่ะ เราต้องไปจากเขาแล้ว เห็นไหม เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเรา หาเงินหาทองมาก็ต้องจับจ่ายใช้สอยไป แล้วสุดท้ายเราก็ต้องพลัดพรากจากมันไป แล้วเราได้อะไรขึ้นมาบ้างล่ะ ได้อะไรขึ้นมาก็นี่ไง ที่มีน้ำใจๆ ที่เสียสละอยู่นี่ ได้นี่ไป มาวัดๆ มาได้ นี่เป็นทิพย์สมบัติๆ สิ่งที่เป็นทิพย์สมบัติฝังดินไว้ไง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้นะ หาเงินมาได้ ๑ บาท ใช้ทำธุรกิจเรา ๑ สลึง เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ๑ สลึง เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยเลี้ยงครอบครัวเรา ๑ สลึง อีกสลึงหนึ่งฝังดินไว้ๆ
นี่เรามาฝังดินไว้กัน ที่มาวัดมาวามาเสียสละนี่มาฝังดินไว้ ฝังไว้ในศาสนาไง ในพระพุทธศาสนานะ มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นรัตนตรัย เป็นที่พึ่งของเรา มาวัดมาวามาทำบุญกุศล มาฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในดินฝังไว้ที่ไหน เพราะเจตนาเกิดมาจากใจ ใจนี้มีเจตนาอยากจะเสียสละขึ้นมา ก็ฝังลงที่ใจนี้ เวลาฝังลงดิน ฝังลงดินก็ใจมันเจตนา ใจมันเสียสละไป มันก็เป็นของใจดวงนั้น เห็นไหม
บ้านเรือนหลังใดถ้ามีไฟไหม้บ้าน ใครเอาทรัพย์สมบัติออกจากบ้านได้มากน้อยแค่ไหน จะเหลือที่ทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของเรา ถ้าไฟมันไหม้เรือนนั้นไปหมดแล้ว ทรัพย์สมบัตินั้นจะโดนไฟไหม้ไปหมดเลย เวลาชีวิตนี้มันหมดสิ้นไป เผาศพไปแล้วมันเผาชีวิตนี้ไป วันเวลามันล่วงไปๆ ชีวิตมีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถึงเวลาแล้วมันหมดโอกาสไป มันเผามาตั้งแต่เกิดแล้วก็ตาย พอตายไปมันเผาเรือนนี้ไป สิ่งที่เสียสละออกไป เหมือนคนที่ไฟไหม้บ้านที่เขาเอาทรัพย์สมบัติออกจากบ้านเขาได้
นี่เราเสียสละฝังไว้ในดิน ฝังไว้ มาวัดมาวา เราเสียสละอะไร แล้วมันฝังไปที่ไหน มันก็ฝังลงไปที่ใจนั้น ใครมาทำบุญวันนี้ ทุกคนจำได้ว่าได้มาที่นี่ แล้วใครได้ฟังเทศน์ ก็ว่าหลวงพ่อเทศน์อย่างนี้ ได้ยินอย่างนี้ จิตดวงนี้มันฝังไป ไม่ต้องมีใครมาบอก เวลามันเป็นจริงๆ ขึ้นมานะ ที่ว่าสิ่งที่เป็นทิพย์ๆ เวลาตายไปแล้วนะ เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม วิญญาณาหารๆ
จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาไปเกิดในภพชาติใด เกิดเป็นพรหม พรหมดำรงชีพอย่างไร กินอาหารอย่างไร ภัสสาหาร ภัสสาหาร เกิดเป็นเทวดาเป็นทิพย์สมบัติ ดำรงชีวิตอย่างไร ก็กินอาหารที่เป็นทิพย์ เกิดเป็นมนุษย์มีร่างกาย เวลาเกิดเป็นมนุษย์ ปัจจัย ๔ ต้องกวฬิงการาหาร เวลาเกิดเป็นเปรตเป็นผีอยู่ในนรกอเวจีไง มันก็กินเวรกินกรรมของมัน เวรกรรมที่มันเผาไหม้ตัวมันอยู่อย่างนั้น เห็นไหม นี่อาหาร ๔
อาหาร ๔ เวลาอาหาร ๔ เวลามันฝังลงไปที่ใจของเราแล้ว ใครเกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหมขึ้นมา เขามีอำนาจวาสนามากน้อยแค่ไหน เขาจะวิมานใหญ่โตเล็กแตกต่างกันเพราะการทำบุญอันนี้ บุญอันนี้มันจะเป็นทิพย์ อาหารที่มันเกิดขึ้นจากบุญกุศลอันนี้เป็นทิพย์สมบัติๆ มันเกิดที่ใจนั้นไง
เพราะเทวดาไม่มีตลาดไง ไปเปิดเซเว่นบนเทวดาเว้ย เราจะเปิดเซเว่น แล้วเทวดาให้มันมาซื้อหากิน มันไม่ต้องซื้อหากินเพราะมันกินทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติมันเกิดมาจากไหน เกิดมาจากการฝังดินไว้นี่ไง เกิดจากการทำดีๆ นี่ ทำดีๆ มันฝังไปที่ใจ เพราะใจเป็นคนทำไง นี่น้ำใจๆ เพราะมีน้ำใจขึ้นมามันทำของมันนะ มันก็เป็นของใจดวงนั้นไง แต่ทำด้วยความสะอาดบริสุทธิ์นะ ปฏิคาหก ผู้ให้ ผู้ให้ได้แสวงหามาด้วยความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะที่ให้ ให้ด้วยอนุโมทนา ด้วยอธิษฐานเวลาขณะที่ให้ ให้ไปแล้ว ผู้ที่รับ รับแล้วเป็นประโยชน์ ถ้ามีปฏิคาหกอย่างนี้ ทานอันนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่องเลย แต่ถ้าเขาชักชวนกันมา เขาบังคับมา เฮ้ย! ไปวัด ไม่อยากไปเลย นี่ปฏิคาหกมันก็แตกต่างกันไป นี่ผลมันเกิดตรงนี้ ที่บอกไปทำบุญแล้วไม่ได้บุญๆ ผลมันเกิดตรงนี้ เกิดตรงที่หัวใจที่มันเจตนา หัวใจที่มันทำบุญทิ้งเหวไง ทำเสร็จแล้ว ปฏิคาหก ให้แล้วชื่นใจ ให้แล้วพอใจ ให้แล้ว
ไม่ใช่ให้แล้วยังตามไปดูเลย หลวงพ่อใช้อย่างไร หลวงพ่อใช้หรือเปล่า
ให้แล้วๆ มันเป็นสิทธิ์ไง มันเป็นสิทธิ์ สิทธิ์ที่เราให้ เราขาดจากใจเราไปแล้วไง ขาดไปแล้ว นั่นไง ทิพย์สมบัติ อันนั้นน่ะเวลามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาไม่ต้องการ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนะ ๘๐,๐๐๐ ปี เป็นหลายๆ หมื่นปีอย่างนี้ โอ้โฮ! ไม่อยากไป
มนุษย์เรา ๑๐๐ ปี พอ ๑๐๐ ปี ศาสนานี้ ๕,๐๐๐ปี ทุกคนเกิดมาแล้วอยากให้อุดมสมบูรณ์ อยากเกิดมาแล้วให้มีความสุข มีสิ่งที่เป็นบุญกุศลของเรา ไม่อยากให้กลับมาแล้วมันแห้งแล้ง ถึงไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้น ต้องการคุณธรรมในใจ
ถ้าต้องการคุณธรรมในใจ ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนาไหนไม่มีผล หัวใจดวงใดไม่มีมรรค ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่มีมรรค ๘ ถ้าไม่มีมรรค ๘ ไม่มีธรรมโอสถ ไม่มีสัจธรรม มันจะเกิดผลมาได้อย่างไร ผลที่จะเกิดขึ้น การบดบี้กิเลสในใจของคนมันจะบดบี้ด้วยมรรคญาณ มรรคญาณมันคืออะไร มรรคญาณไปหาซื้อได้ที่ไหน
มรรคญาณหาซื้อไม่ได้ เพราะหัวใจดวงหนึ่งกับหัวใจดวงหนึ่งมันเอาสิ่งดีงามยัดเยียดเข้ามาในใจดวงอื่นไม่ได้ ใจดวงใดที่มีทุกข์ในหัวใจนั้นก็ต้องพยายามหาสัจจะ หาคุณงามความจริงในใจดวงนั้น แล้วถอดถอนใจดวงนั้น บดบี้กิเลสในใจดวงนั้น เห็นไหม
ถ้าศาสนาไหนมีมรรค ศาสนาไหนมีผล หัวใจดวงใดมีมรรค มีมรรคก็มีสติมีปัญญา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา แล้วรักษาหัวใจของเรา บดบี้กิเลสในหัวใจของเรา ถอดถอนในใจของเราให้หมด นี่ธรรมโอสถรักษาอย่างนี้ แล้วมันไม่ต้องการสิ่งใดเลย ไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย เพราะมันเข้าใจสัจธรรม
วัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาทุกภพทุกชาติ เราเกิดมาแล้วเราเห็นหมดล่ะ ไม่ต้องไปเที่ยวรอบโลก ไม่ต้องไปเที่ยววัฏจักร รู้อยู่ในหัวใจนี่ รู้หมดแล้วแต่แก้ไม่เป็น รู้หมดแล้วแก้ไม่ได้
เรามาวัดมาวาฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วไม่ใช่มดแดงเฝ้าพวงมะม่วง เราเป็นเจ้าของสวนๆ เราต้องกินมะม่วงเป็น เราต้องกินมะม่วงได้ มะม่วงต้องเป็นของเรา ไม่ใช่มาเฝ้าไว้ให้นายทุนมันเอาไปกินหมดเลย
นี่ก็เหมือนกัน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของเรา ให้แต่คนต่างชาติเขามาบวช ให้คนต่างชาติเขามาแสวงหา เราเป็นเจ้าของศาสนาเหมือนกบเฝ้ากอบัว ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติจริงของเราเลย เราก็ต้องฝึกหัดความจริงให้มันเกิดขึ้นมากับเรา
ทาน ศีล ภาวนา ทานเราก็ได้ทำแล้ว ศีลเราก็ปฏิบัติได้ เราก็ประพฤติได้ แต่ภาวนา ภาวนาให้เกิดสัจธรรม ให้เกิดปัญญาของเรา มันจะเกิดมรรคไง เกิดการกระทำไง เกิดคุณสมบัติไง อยากเป็นคนดีๆ ไง สิ่งความดีงามๆ มันดีงามที่นี่ไง แล้วเวลามันสำรอกมันคายออก เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเทศน์ธัมมจักฯ เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุทานเลย “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” เหมือนลูกเรามันเรียนจบ มันทำงานได้ โอ๋ย! กลับมาบ้านพ่อแม่ชื่นใจมาก
นี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม เวลาพระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมน่ะ ท่านอุทานน่ะ นึกถึงหัวใจของพ่อแม่สิ ลูกทำงานได้ ลูกประสบความสำเร็จ พ่อแม่จะมีความสุขมีความชื่นใจขนาดไหน แล้วมันเป็นการยืนยันว่าศาสนานี้มีจริงไง นี่ไง ถ้ามันเป็นจริงมันเป็นจริงอย่างนี้ไง “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ” ลูกเราทำได้แล้ว ลูกเราทำได้ นี่ไง ประชาชนทำได้ มนุษย์ทำได้ เราต้องทำได้ เราทำเพื่อหัวใจของเรา เอวัง